สมาชิกใหม่ขอฝากตัวค่ะ

[Nunongluk]

  แนะนำตัวก่อนนะคะว่าชื่อเอก ตอนนี้อายุ 30 ปีคะ พึ่งเริ่มชักมาได้ 2 เดือนคะ สาเหตุจากการชักน่าจะมาจากเมื่อ2ปีก่อมเคยมีปัญหาเรื่องปวดศีรษะปวดมากและเริ่มปวดบริเวณต้นคอจึงไปหาหมอที่รพ.ที่ตัวเองทำงานอยู่ตอนแรกหมอบอกว่าเป็นoffice syndrome ให้ยาultracetมาทานอาการปวดดีขึ้นแต่มีท้องผูกมาก หมอจึงเปลี่ยนมาเป็นlyrecaและเพิ่มยาทาเป็นcapsica gel ตอนแรกก็ดีคะแต่หลังอาการปวดเริ่มมากขึ้นหมอแนะนำให้ออกกำลังกายไปออกได้ซักพักมีปัญหาใหม่คือเริ่มมีเสียงในหูซึ่งดังสัมพันธ์กับชีพจรจึงไปหาหมอหูที่รพ.หมอจึงส่งเราเป็นตรวจaudiogramผลปกติจึงบอกว่าเราเป็นtinnitusให้เรากินprednisoloneวันละ12เม็ดช่วงที่กินยาอาการปวดศีรษะก็เหมือนจะดีขึ้นเลยที่ดีร่วมกับเราออกกำลังกายด้วยหมอที่รักษาเราเรื่องปวดหัวก็เลยบอกว่าเรากินยาตัวนี้แล้วดีจึงให้ยาฟรีมาเพียบและเริ่มนัดห่างจากอาทิตย์ละครั้งเป็นเดือนละครั้งหลังๆเป็นมาเฉพาะเวลาปวด จนปี54เราหยุดกินยาทุกตัวเพราะเสียงในหูหายไปแต่อาการปวดกับมากขึ้นทุกวันแรกๆก็กินยาแก้ปวด หลังถึงขั้นฉีดยา จึงกลับไปหาหมอคนเดิมที่รักษา หมอจึงเริ่มเปลี่ยนให้เราใหเรากิน depakine200แทนแต่ผลคือปวดไม่ดีขึ้นและน้ำหนักขึ้นมากๆๆ หมอจึงเปลี่ยนเป็นtopamax25ให้กินแทนแต่ก็ไม่ดีและหลังๆมือด้านซ้ายเริ่มชา ตาเริ่มมัว และช่วงนั้นไปดำน้ำด้วยอาเจียนทุกครั้งที่ดำน้ำจึงกลับมาหาหมออีกคราวนี้หมอให้เปลี่ยนยาอีกโดยให้กับมากินlyricsคู่กับtopamaxและเวลาปวดให้กินtramolแทนแต่งานเราต้องใช้สายตาและตาเริ่มมองไม่ชัดจึงตัดสินใจไปหาหมอซึ่งหมอตาคนแรกบอกเราตาแห้งให้ยาหยอดตามาแต่ไม่ดีขึ้นจึงเปลี่ยนไปหาหมอด้านจอประสาทตาแทนซึงหมอทีืรักษาเรื่องปวดหัวก็รับรู้อาการเราตลอดนะพอคราวนี้มาเจอหมอคนที่2นี้ส่งเราไปตรวจจอประสาทตา ผลคือคำแรกที่หมอเราคือคุณมี papiloma 5mmเลยนะหมอส
สัยคุณจะมีก้อนเนื้อในสมอง หมอจะส่งคุณให้หมอด้านสมองดู เราจึงบอกหมอว่าเราก็ดูกับหมอสมองที่รพ.นี้มาตลอดแหละ หมอจึงเปลี่ยนหมอให้เรา หมอท่านนี้พอตรวจร่างกายเราขอส่งเราทำ MRI brain with Contrastทันที ผลคือเรามี mennigimaขนาดประมาณ5x10 cmที่ right pariatal brain ต้องผ่าตัดด่วนมิฉะนั้นจะตาบอด ตอนแรกที่ได้ยินตัวชาเลย โทรหาพี่สาวที่เป็นพยาบาลที่คุณหมอสมองที่ตรวจเราคนแรกทำงานอยู่แต่ไม่กล้าโทรบอกที่บ้านนะกลัวเค้าตกใจ และพี่สาวก็ติดต่อหมอให้เราไปผ่าที่รพ.ที่ทำงาน คำแรกที่หมอคนนั้นพูดคือ " ผมว่าที่คุณดีขึ้นช่วงแรกคงเพราะprednisoloneที่คุณกินแต่ยังไงวันนี้คุณต้องนอนรพ.เพื่อฉีดยาและผ่าตัดทันที" เราก็ตกใจอ้าวแล้วงานที่เราทำละยังไม่ได้แจ้งเค้าเลย แล้วจะบอกพ่อกับแม่ยังไงเครียดมากๆๆ เดียวต้องไปทำงานแล้วเดียวมาเล่าต่อนนะคะ หมายเหตุ ตอนนี้กินย่กันชัก2ตัวคิอkeppra500กับlamictal25คะ

[Nunongluk]

มาเล่าต่อคะหลังจากนั้นก็ได้ผ่าตัดและกับไปพักฟื้นที่บ้านประมาณ1ปีคะ ช่วงที่ผ่านมาไม่มีปัญหาอะไรจึงเริ่มกลับมาทำง่นเมื่อต้นเดือนมีนาคม พอเดือนเมษาต้นเดือนก็ไปอบรมที่มสธ.5วันต้องไปทำกิจกรรมกลุ่มนอนน้อยและอากาศร้อนมากๆๆ วันที่อบรมวันที่4เมษา ตอน10โมงเริ่มมีอากาศปวดศีรษะได้ยินเสียวติ๊กๆๆๆในหัวด้านซ้าย(เราผ่าด้านขวา)พอตอนเที่ยงไปกินข้าวปากด้านซ้ายเริ่มชา หลังจากนั้นกลับมาทำงานกลุ่มต่อสังเกตุเห็นมือซ้ายเริ่มจับเม้าส์ไม่ได้เริ่มกระตุกจึงรีบเดินไปห้องพยาบาลหลังจากนั้นก็ไ ่รู้เรื่องเลยมาตื่นอีกทีตอน4โมงเย็นคะ พี่เค้าพามาส่งเล่าให้ฟังว่าพอเราไแถึงห้องพยายามเราก็ชักกระตุกทั้งตัวตาเหลือกแต่ไม่ปัสสาวะราด เค้าจึงรีบพามารพ.พอมาถึงรพ.เราก็มีชักกระตุกอีกครั้งที่นี้เค้าจึงฉีดvaliumให้เรา และrefer เรามาที่รพ.ที่เคยผ่าตัดเรา คราวนี้หมอให้ยาdripเป็นdepakineทุก8ชั่วโมงเพราะเรามีประวัติแพ้dilantin(เคยกินหลังผ่าตัดได้2วันแล้วผื่นขึ้นหมอก็เลยไม่ให้กินอีกเลย)ได้นอนรพ.อยู่2คืนหมอเปลี่ยนจากdepakineฉีดเป็นdepakine chrono500กิน1เม็ดเช้า-เย็นพิวันกลับบ้านเรายังมีอาการชาอยู่หมอจึงเพิ่ม keppra 500ให้กิน1เม็ดเช้า-เย็น และนัดดูอาการอีก 2 อาทิตย์ หลังจากก็กลับไปทำงานผลก็คือ 1.ทำงานไม่รู้เรื่องเลย เบลอมากๆๆ ง่วงนอนตลอดเวลา 2.เริ่มพูดรัว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด 3.เริ่มคิดอย่างแต่พูดอย่าง 4.ความดันเริ่มต่ำวัดได้ประมาณ 80/40 4.อารมส์เริ่มแปรปรวน หงุดหงิดง่าย ร้องไห้ง่ายมาก ซึมเศร้าจนคนรอบข้างเริ่มทัก 5.น้ำหนักลดฮวบจากกินไม่ได้ 2 อาทิตย์ 2 กิโล 6.มือเริ่มสั่น พอวันที่หมอนัดกลางคืนอากาศร้อนนอนไม่หลับกังวล พอตี4เีิ่มมีอากาศได้ยินเสียงมือเริ่มสั่นและปวดหัวมากจึงรีบมาห้องฉุกเฉิน หมอฉีดvaliumให้แต่ก็ไม่หลับนะแต่ก็ไม่ชัก หลังจากนั้นจึงกลับไปพบหมอที่ให้ยาเราและเราอาการให้ฟัง หมอบอกว่าหมอปรับยาให้ไม่ถูกต้องส่งไปพบหมออีกคนซึ่งเป็นหมออายุรกรรมระบบประสาทโดยตรง ซึ่งตรงมาอีกวัน พออีกวันมาพบหมอคำแรกที่หมอถามคือ "ทนมาได้ยังไงต้อง2อาทิตย์ เพราะถ้าวันนี้เจาะเลือดระดับยาต้องสูงมากแน่ๆๆ และอาการทั้งหมดที่คุณว่าคืดผลข้างเคียงของยาทั้งนั้น " หลังจากนั้นหมดจึงปรับยาให้ใหม่โดยเอาdepakineออก และเพิ่ม lamictalให้โดยค่อยปรับยาให้ดังนี้คือ
1.keppra500 ให้กิน1เม็ดเช้า-เย็น1เดือนหลังจากลดเหลือ1/2เม็ดเช้า-เย็น
2.lamictalให้เริ่ม25mg 1/2เม็ดก่อนนอน1อาทิตย์ หลังจากนั้นเป็น1/2เม็ดเช้า-เย็น1อาทิตย์และเป็น1/2เม็ดตอนเช้า1เม็ดตอนเย็นและสุดท้าย1เม็ดเช้า-เย็น
หมอบอกว่ายาตัวนี้ดีแต่แพงนะผลข้างเคียงคือถ้าช่วงนี้มีลูกลูกจะโง่ และตัวเราจะง่วงนอนจะใช้เวลาประมาณ2-3อาทิตย์จึงจะเริ่มเข้าที่ และอาจเกิดผื่นแพ้ยาได้ง่าย แต่สำหรับตอนนั้นอะไรก็ได้ขอให้หายเถอะ เพราะไม่สามารถทำงานได้เลย ช่วงนี้ก็คือหลังจากเปลี่ยนมากินยาชุดนี้คือ1.อาการมือสั่นหายไป2.อารมส์หงุดหงิดซึมเศร้ายังมีบ้างแต่ลดลง3.อาการพูดลิ้นแข็งหายไป4.อาการเบลอยังมีบ้างแต่น้อยไปเยอะ แต่ตอนนี้คือเราจะจำอะไรไม่ค่อยได้ เวลาคนพูดอะไรต้องพูดซ้ำหรือทวนหลายๆหนซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเป็น ยังกินนอนอยู่ไม่หิว และเวลาเครียดยังมีอาการปวดศีรษะมือชาอยู่เป็นบ้างครั้ง ซึ่งพอมีอาการเหล่านั้นเรมจะหยุดทำทุกอย่างและกินยาแก้ปปวดและซักพักจะดีขึ้น เพราะหมอบอกว่าถ้ากินยากันชักภายใน2ปีห้ามชักไม่งั้นต้องกินยากันชักไปตลอดซึ่งถ้าเป็นอย่างนั่นเราคงทนไม่ไหวแน่ๆๆ ถ้าใครมีคำแนะนำอะไรขอความกรุณาแนะนำเราด้วยนะคะ จะขอบคุณมากๆๆคะ

[NONG]

อ่านเรื่องคุณเอกตั้งแต่แรก น่าแปลกใจตั้งแต่มีอาการมาได้ยากันชักมาหลายตัวโดยจุดประสงค์ไม่ได้ไว้ใช้กันชักเลย ตั้งแต่ lyrica depakine topamax โดยไม่เคยวิเคราะห์อาการเป็นโรคลมชักเลย หลังผ่าตัดยังได้ keppra lamictal หมอ รพ.นี้เปลี่ยนยากันชักให้เป็นว่าเล่นเลย  หลังชักหนักก็ยังให้ยากันมั่วดี นึกจะให้จะเอาออกตามสบายเลย 
ตกลงว่าการชักใหญ่ครั้งหลังสุดเกิดจากอะไรคะ แผลผ่าตัดเป็นจุดเกิดการชัก หรือชักมาจากส่วนไหน หมอได้บอกหรือไม่
ที่หมอบอกว่ากินยากันชัก 2 ปีต้องไม่ชักเลยไม่งั้นได้กินยาตลอดไป ที่อ่านมานี่กินยากันชักมาสองปีแล้วนะ ถ้าจะให้ดีขึ้น ควรต้องหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นการชักต่างๆ เช่น ห้ามเครียด ห้ามอดนอน อย่าออกกำลังจนเหนื่อยเกินไป ไม่ดื่มแอลกกอฮอล์ ชา กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เป็นต้น ทำจิตใจให้สบาย ทานยาตามหมอสั่ง อย่างตรงเวลา  สำหรับบางคนโรคลมชักอาจไม่หายขาด ต้องทานยาตลอดชีวิต แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแบบคนธรรมดา สำคัญต้องทำใจอยู่กับโรคอย่างมีความสุข

[Thanks-Epi]

เพราะหมอบอกว่าถ้ากินยากันชักภายใน2ปีห้ามชักไม่งั้นต้องกินยากันชักไปตลอดซึ่งถ้าเป็นอย่างนั่นเราคงทนไม่ไหวแน่ๆๆ ถ้าใครมีคำแนะนำอะไรขอความกรุณาแนะนำเราด้วยนะคะ จะขอบคุณมากๆๆคะ

ถ้ากินยากันชักแค่ 2 ปีแล้วไม่ไหว ยังเครียดกันขนาดนี้ คงต้องลองย้อนไปอ่านกระทู้ต่ายดูใหม่ว่า อาการชักต่ายหนักกว่าเยอะ  นานกว่าแยะ

จนทุกวันนี้ กลายเป็นคนป่วยที่มาให้กำลังใจคนที่ป่วย(ใจ) เสียมากว่า ป่วยกาย

การคุมอาการชัก ไม่ได้มาจากยาอย่างเดียว กำลังใจต้องดี(มาก)ด้วย  ทำอย่างไร ถึงจะอยู่กับโรค และโลกนี้อย่างไม่ท้อถอย ในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเป็น

ส่วนของความเห็นจากยา/วิเคราะห์โรคนั้น ก็ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก ไม่ทราบว่าแพทย์วิเคราะห์โรคลมชักได้อย่างไร อะไร เป็นตัวบ่งชี้ว่า ต้องจ่ายยากันชักคะ( เพราะแรกๆ เป็นลักษณะปวดศีรษะ) หมอที่รักษาเป็นหมอลมชักโดยเฉพาะหรือเปล่าคะ เพราะการวิเคราะห์อาการ ต้องให้หมอที่เชี่ยวชาญจริงๆ แม้กระทั่งต่าย หมอเดิมๆ ยังบอกไม่มีคลื่นชัก


ลองอ่านกระทู้ต่ายดูว่า กว่าจะถึงวันนี้ใช้เวลานานแค่ไหนค่ะ http://www.lomchakclub.com/v9/index.php/topic,468.0.html