เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra  (อ่าน 48086 ครั้ง)

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 06 สิงหาคม 2011 เวลา 23:36 น. »
Update เรื่องราวล่าสุดค่ะ

สรุปว่ากลางเดือนที่แล้วได้พาลูกขึ้นไปทำ MRI และ EEG ที่กรุงเทพค่ะ ฟังผลจากคุณหมอที่ศิริราชวิเคราะห์ให้ฟัง แจ้งว่าจากภาพ ) x-ray พบซีสต์ ที่คาดว่าจะเป็นถุงน้ำขนาดประมาณ 4 mm. บริเวณสมองด้านขวา (ดูจากภาพจะเห็นเป็นจุดขาวๆ อยู่บริเวณลึกเข้าไป ไม่ใช่บริเวณเนื้อสมอง) ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก
ส่วนผล EEG พบคลื่นชักทั้งทางขวาและซ้าย เป็น Sharp wave อยู่ทางขวาบริเวณตำแหน่ง F4 และซ้ายบริเวณ C3P3

ข้อความส่วนหนึ่งจาก Report นะคะ
"There are infrequent sharp waves over the right frontal (F4), left centro-parietal (C3P3) regions. There are also burst of rhythmic theta activities lasting few seconds over the left > right centro-parietal regions without clinical sign."

ลักษณะเป็นการชักประเภท Focal Epilepsy (การชักที่มีจุดกำเนิดชักเฉพาะที่ 1 หรือ 2 จุด) สำหรับคลื่นที่พบทั้ง 2 ฝั่ง อาจเป็นไปได้ว่า บริเวณนั้นมีเส้นประสาทที่เชื่อม ส่งกระแสไฟฟ้าไปทำให้เห็นคลื่นทั้ง 2 ข้าง

แนวทางการรักษา ก็ยังคงให้ยาคุมอาการ แต่หากยา 2 หรือ 3 ตัวแล้วยังคุมอาการไม่อยู่ อาจต้องพิจารณาไปถึงการผ่าตัดในอนาคต


จากนั้นสองสามวันต่อมา ก็ได้นำ EEG Graph และภาพ X-ray MRI Brain ไปพบคุณหมอโยธินค่ะ

หลังจากเล่าประวัติ ดูภาพ MRI และ EEG
MRI สรุปว่าไม่เห็นความผิดปกติที่เป็นภาพใหญ่ที่ เช่น มีก้อนเนื้องอก ไม่มีแผลเป็น เซลล์สมองก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
แต่จากทาง Clinical อาการชักน่าจะมาจากจุดใดจุดหนึ่งในสมอง มักเป็น Cell หรือ network ที่ผิดปกติเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งมองไม่เห็นจากการทำ MRI
เป็นอาการชักแบบจุด Focal Epilepsy จุดกำเนิดชักน่าจะอยู่บริเวณสมองด้านซ้าย

ส่วนถุงน้ำ (ซีสต์) ที่เห็นไม่อธิบายเรื่องชัก คือไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดการชัก เนื่องจากเล็กมากและอยู่ในบริเวณที่ไม่น่าจะทำให้ชักได้ โดยทั่วไปจุดผิดปกติที่ทำให้ชักจะอยู่บริเวณผิวของสมอง (รอบนอกๆ)

จาก EEG Graph
จุดกำเนิดชักน่าจะอยู่ที่สมองด้านซ้าย มาทางด้านหน้า (Frontal Lope) พบ Slow wave  และมี Sharp wave อยู่ในตำแหน่ง F7 และ F3

แนวทางการรักษา
1 ปรับยาดูก่อน
2 หากปรับยาตัวที่ 2 , 3 แล้วไม่สามารถคุมชักได้ ก็ต้องมาหาตำแหน่งของจุดกำเนิดชักที่ชัดเจนมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ละเอียดขึ้น เช่น Ictal SPECT หรือ PET Scan เพื่อมองไปถึงการผ่าตัด
ตอนนี้ก็คงให้ทาน Keppra ไปก่อน เนื่องจากเพิ่งเปลี่ยนมา โดยจากน้ำหนักตัว 15.5 Kg สามารถให้ได้ถึง 50-80 mg/kg/วัน  แต่หากยังไม่สามารถคุมชักได้ หรือมี Side effect ที่ไม่สามารถยอมรับได้ ก็คงต้องเลือกยาตัวใหม่ โดยคุณหมอเลือก Lamictal หรืออาจจะ Combine 2 ตัว คือ Depakine + Lamictal  โดยยา 2 ตัวนี้มักจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้ให้ใช้ Keppra ไปก่อน เพราะเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยน แต่คุณหมอแนะนำให้ทาน วิตามิน B1 6 12 เสริม ซึ่งอาจจะช่วยลดพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ที่เป็นอยู่ได้ ให้ลองดูแต่โดยทั่วไปมักจะได้ผลในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมากกว่า
ถามคุณหมอเรื่องที่เคยสงสัยอยู่ว่า เมื่อก่อนทาน depakine แล้วไม่เคยอยู่ดีๆก็ชัก คือทุกครั้งที่ชักก็จะเป็นเพราะมีสิ่งกระตุ้น แต่พอเปลี่ยนมาเป็น Keppra ก็เกิดอาการชักโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น เราเลยรู้สึกว่า Depakine น่าจะคุมได้ส่วนหนึ่ง ใช่มั๊ย คุณหมออธิบายว่า เนื่องจากยากันชักแต่ละตัวมีคุณสมบัติในการคุมชักได้ดีไม่เหมือนกัน บางทีเราใช้ตัวนี้ดีแต่พอ Switch ไปใช้อีกตัวอาจไม่ดีเท่าตัวแรกก็ได้ คือพอเปลี่ยนเป็น Keppra แล้วอยู่ดีๆก็ชัก เป็นไปได้ เพราะยากันชักอาจทำให้เปลี่ยนรูปแบบการชักไป ใน Case นี้หากลอง Keppra ดูแล้วยังชักอยู่ คงจะย้อนกลับมาใช้ Combine depakine+lamictal  โดยข้อเสียของ depakine+lamictal   นั้นคือบางคนอาจแพ้โดยมีผื่นขึ้นได้ แต่ถ้าไม่แพ้จะเป็นยา Combine ที่ดีมาก ผลต่อตับหรืออวัยวะอื่นไม่ค่อยมี  และLamictal ไม่มีผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม หรือหากมีก็เป็นไปในด้านบวก และอาจทำให้การเรียนรู้ดีขึ้นด้วยในเด็ก

ถามคุณหมอต่อไปว่า Case นี้ใช้ยาน่าจะหายมั๊ย
คุณหมอตอบว่า น่าจะ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า พอมาถึงยาตัวที่ 2 โอกาสจะหายขาดก็จะลดลง ฉะนั้นถ้าเลือกยาตัวแรกได้ถูกต้องเหมาะสม โอกาสหายขาดก็มี % มากกว่า เนื่องจากโรคนี้มีลักษณะแบบ Dynamic ถ้าชักบ่อยขึ้นจะรักษายากขึ้น ยาตัวเดิมที่เคยคุมอยู่ ก็อาจจะเอาไม่อยู่


ฟังจาก 2 ความเห็น ก็วิเคราะห์ค่อนข้างต่างกันค่ะ แต่แนวทางการรักษา ณ ตอนนี้ยังเหมือนเดิมอยู่ คือ ให้ on Keppra ต่อไปก่อน จนกว่าจะเห็นว่าเอาไม่อยู่ ทั้งเรื่องอาการชัก และ side effect ด้านอารมณ์ แต่หากเปลี่นยา Step ถัดไป ก็คงต้องตัดสินใจว่าจะใช้ยาตัวใด เพราะคุณหมอเลือกยาแตกต่างกันค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันอาทิตย์ที่ 07 สิงหาคม 2011 เวลา 01:25 น. โดย nongtt »

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2011 เวลา 22:54 น. »
วันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ลูกมีอาการชักอีกแล้ว ห่างจากครั้งที่แล้ว 1.5 เดือนเองค่ะคราวนี้  ก่อนหน้านี้สัก 3 วันเค้าเริ่มมีน้ำมูกหน่อยๆ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย แต่ไม่มีไข้อะไร ตอนเช้าวันที่ 11 ยังไป รร. อยู่เลย ก็ดูปกติดี เหมือนใกล้หายหวัดแล้ว ไม่มีไข้อะไร พอตอนค่ำประมาณ 1 ทุ่ม นั่งดูทีวีอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเริ่มจากกระตุกข้างขวาก่อน ปากเบี้ยวไปด้านขวา ตาเหลือกไปขวา มีปากเขียวหน่อยๆด้วย จากนั้นก็กระตุกทั้งตัว ระยะเวลาชักทั้งหมดประมาณ 2-3 นาที พอหยุดชัก ไม่ถึง 1 นาทีก็เริ่มรู้สึกตัว พูดตอนแรกๆเสียงจะอู้อี้ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เห็นลูกจับหัว เลยถามว่าปวดหัวมั๊ย เค้าก็ชี้ไปแถวๆท้ายทอยด้านขวา ว่าเจ็บ แล้วก็กดๆที่คิ้วด้านซ้าย เข้าใจว่าลูกน่าจะรู้สึกปวดหัวค่ะ แต่เค้าอธิบายไม่เป็น แต่คราวนี้ไม่ค่อยงอแง อารมณ์ดู OK มียิ้มและหัวเราะได้ แต่จะค่อนข้างสับสน คิดว่าเป็นตอนกลางวัน (ตอนนั้นทุ่มกว่าแล้ว) ถามแม่ว่าทำไมถึงเปิดไฟ ปิดม่าน พระอาทิตย์ไปไหน? ตอนแม่ปิดไฟให้นอน ประมาณสองทุ่มกว่าๆ ก็นึกว่าตัวเองยังไม่ทานข้าว

ก่อนชักยังไม่ได้ทานยามื้อเย็น เพราะปกติจะให้ทานตอนทุ่มครึ่งค่ะ ก็เลยให้ Keppra ไป 2.5 cc (ปกติทานอยู่ 2 cc) เพราะหมอเคยบอกว่าถ้ามีอาการอีกให้เพิ่มอีก .5 ไม่นานลูกก็หลับยาวถึงเช้า คืนนั้นไม่มีอาการอะไร หลับปกติ ไม่มีละเมอค่ะ

ว่าไปก่อนที่จะชักครั้งนี้ สังเกตดู Pattern จะเหมือนครั้งที่แล้วเลย คือ เป็นหวัดหน่อยๆ (อาการน้อยมาก) แต่ไม่มีไข้ ซึ่งก่อนหน้าที่ทาน depakine Pattern จะเป็นอีกอย่าง คือ เป็นไข้แล้วจึงชัก พอเปลี่ยนมาเป็น Keppra เลยรู้สึกว่าดูแลยากขึ้นมากเลยค่ะ แล้วก็ความถี่เริ่มมากขึ้นด้วย

เป็นไปได้ว่ายาอาจจะยังสูงไม่พอ แต่เนื่องจากเค้าทาน Keppra แล้วมี side effect ด้านอารมณ์ ส่วนตัวจึงคิดว่าไม่น่าจะเพิ่ม Dose ไปได้มาก เนื่องจากพ่อ แม่จะรับอารมณ์ไม่ไหว ตอนโทรปรึกษาคุณหมอ ตอนแรกหมอว่าจะให้เพิ่ม Dose ยา แต่พอแจ้งไปว่าอยากเปลี่ยนยามากกว่า คุณหมอเลยให้เพิ่ม depakine 0.25 cc เช้าเย็นเข้าไป ส่วน Keppra 2 cc เช้า เย็น เหมือนเดิมไปก่อน (ทาน 2 ตัว) แล้วหากมีอาการครั้งถัดไป อาจต้องเพิ่ม depakine อีก (และอาจต้องแบ่งเป็น 3 , 4 มื้อ) หรือค่อยๆลด Keppra แล้วใส่ lamictol เข้ามา (รายละเอียดคงต้องไปคุยอีกทีค่ะ เพราะครั้งนี้คุยทางโทรศัพท์)

ได้ถามคุณหมอไปว่าการที่เค้าเป็นหวัด น่าจะเกี่ยวกับการชักนี้มั๊ย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ เนื่องจากมีการติดเชื้อ ซึ่งถือว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้ชักได้เหมือนกัน


ไตตั้นชักคราวนี้รู้สึกท้อๆจังเลยค่ะ เหมือนต้องกลับไปเริ่มใหม่ยังไงไม่รู้ แล้วมันก็เริ่มถี่ขึ้นด้วย แต่ก็สัมพันธ์กับการไป รร นั่นแหล่ะค่ะ ใจจริงอยากให้ลูกได้ไปเรียนบ่อยๆ แต่ไปทีไรก็ติดหวัดกลับมา แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอให้ถึงเป็นไข้ ก็ชักซะแล้ว แต่หากไม่ได้ป่วยอะไร เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายาที่กินอยู่นี่มันคุมได้หรือยัง เฮ้อ!

อีกเรื่องคือ คืนถัดมา ตอนนอนเค้าจะละเมอ กรีดร้องขึ้นมา หลายครั้งเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการชักหรือเปล่า เรื่องกรีดร้องตอนกลางคืนนี้สังเกตว่าเค้าจะเริ่มๆเป็นเยอะตอนที่ทาน Keppra ใหม่ๆ ช่วงนั้นเป็นถี่ ก็คิดเอาเองว่าน่าจะเกี่ยวกับยา แต่พอหลังๆที่เหมือนปรับตัวได้แล้ว ก็เป็นน้อยลง แต่มีบางคืนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าการละเมอกรีดร้องนี้เกี่ยวกับการชักหรือยาที่กินหรือเปล่าคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2011 เวลา 23:07 น. โดย nongtt »

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 08:51 น. »
อีกเรื่องคือ คืนถัดมา ตอนนอนเค้าจะละเมอ กรีดร้องขึ้นมา หลายครั้งเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการชักหรือเปล่า เรื่องกรีดร้องตอนกลางคืนนี้สังเกตว่าเค้าจะเริ่มๆเป็นเยอะตอนที่ทาน Keppra ใหม่ๆ ช่วงนั้นเป็นถี่ ก็คิดเอาเองว่าน่าจะเกี่ยวกับยา แต่พอหลังๆที่เหมือนปรับตัวได้แล้ว ก็เป็นน้อยลง แต่มีบางคืนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าการละเมอกรีดร้องนี้เกี่ยวกับการชักหรือยาที่กินหรือเปล่าคะ
ไม่เคยได้ยินเหมือนกันค่ะ ว่า Keppra มีผลอย่างนั้นต้องรอคุณพ่อแม่ท่านอื่นที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมแชร์แล้ว

น้องฝันร้าย หรือ เป็นไข้ หรือ ฯลฯ อย่างอื่นด้วยหรือเปล่า

ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้

คงต้องถามหมอแล้วค่ะ ว่าชักหรือเปล่า (เพราะเวลาต่ายชักเวลาหลับนั้น ไม่เคยมีใครสังเกตุ เพราะนอนคนเดียวค่ะ) มีบ้างที่ฝันร้าย แล้วกรีดร้อง/ผวาตื่น ออกมา (ไม่ได้เกี่ยวกับยาเลย เพราะเครียดค่ะ)
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 09:40 น. »
ถ้ากรณีน้องวิน ตอนที่ยังคุมไม่ได้ ตอนนอนหลับก็จะมีการกรีดร้องด้วยครับ อยู่ๆก็ร้อง
ที่บ้านชอบเรียกว่าปริ๊ดอีกแล้ว ถ้าเริ่มคุมได้ดี อาการร้องตอนหลับจะค่อยๆหายไปครับ
สู้สู้

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 09:42 น. »
ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้
เห็นด้วยกับคุณต่าย อีกอย่างการกรีดร้องตอนหลับเป็นอาการชักแบบหนึ่งด้วย น่าจะได้ยาหลายวันแล้วดีขึ้นมากกว่า

คุณหน่องอย่าเพิ่งท้อซะก่อน คุณหมอเปลี่ยนยาแล้วอาการคงดีขึ้นได้ หวังว่าน้องไตตั้นจะไม่แพ้ lamictol ยาตัวนี้แพ้กันบ่อย ถ้าไม่แพ้การใช้ยานี้ให้ผลได้ดีอย่างที่คุณหมอบอกไว้  โรคลมชักแย่อยู่ตรงที่รูปแบบการชักเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ทำให้บางครั้งเหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ เพราะยาที่ใช้อยู่ใช้ไม่ได้ผล เข้มแข็งไว้นะคะ ยังต้องสู้กับโรคนี้อีกนาน

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 12:05 น. »
ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้
เห็นด้วยกับคุณต่าย อีกอย่างการกรีดร้องตอนหลับเป็นอาการชักแบบหนึ่งด้วย น่าจะได้ยาหลายวันแล้วดีขึ้นมากกว่า

คุณหน่องอย่าเพิ่งท้อซะก่อน คุณหมอเปลี่ยนยาแล้วอาการคงดีขึ้นได้ หวังว่าน้องไตตั้นจะไม่แพ้ lamictol ยาตัวนี้แพ้กันบ่อย ถ้าไม่แพ้การใช้ยานี้ให้ผลได้ดีอย่างที่คุณหมอบอกไว้  โรคลมชักแย่อยู่ตรงที่รูปแบบการชักเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ทำให้บางครั้งเหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ เพราะยาที่ใช้อยู่ใช้ไม่ได้ผล เข้มแข็งไว้นะคะ ยังต้องสู้กับโรคนี้อีกนาน

พี่น้องคะ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าอาการกรีดร้องตอนหลับเป็นการชักรึเปล่า แต่ได้อ่านบทความใน Web นี้แหล่ะค่ะ
http://www.lomchakclub.com/v9/index.php/topic,80.0.html

เห็นเขียนไว้ว่า  "...อาการชักคล้ายชัก (Nonepileptic disorders) ได้แก่ อาการเป็น ๆ หายๆ อย่างอื่น ที่ไม่เข้ากับลักษณะอาการชักข้างต้น เช่น อาการเป็นลม (Syncope) จะหมดสติ ตัวอ่อน หน้าซีด เหงื่อแตก ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ล้มลง ส่วนน้อยจะล้มทันที บางคนเกร็งหรือสั่นกระตุกได้ แต่มักเกิดภายหลังอาการตัวอ่อนปวกเปียก มักฟื้นเร็วและรู้ตัวโดยไม่สับสน การนอนผิดปกติ (Sleep disorders) มักเกิดขณะหลับ มีลักษณะเฉพาะเช่น กรีดร้อง (Night terror) หรือเดินละเมอ ...."

ก็เลยสงสัยอยู่ว่าตกลกใช่เป็นการชักด้วยหรือเปล่า ? (Nonepileptic disorder)

สำหรับเรื่องแพ้ lamictol ไม่ทราบว่ามีการเจาะเลือดตรวจได้ก่อนมั๊ยคะว่าแพ้หรือเปล่า เพราะอย่าง carbamacipine นั้นเห็นคุณหมอบอกว่าสามารถตรวจเลือดก่อนว่าจะทานได้มั๊ย ถ้าไม่ได้ หลังจากทานแล้วนานกี่วันคะถึงจะสรุปได้ว่าแพ้หรือเปล่า เท่าที่ทราบอาการแพ้คือจะมีผื่นขึ้น ใช่มั๊ยคะ แล้วมีอาการอื่นอีกมั๊ยคะ
ตอนนี้ ใจคิดว่า Keppra น่าจะเอาไม่อยู่ เพราะรู้สึกมัน sensitive เหลือเกิน เป็นหวัดแบบนิดเดียวจริงๆ ก็ชักแล้ว 

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 12:19 น. »
อาการคล้ายชักมีเยอะค่ะ แต่บางครั้งก็ชักจริงด้วยทำให้ดูยาก คุณหน่องอ่านบทความละเอียดจังที่ของคุณ sudarat เอามาลงเยอะมาก  น่าจะตัดจากตำรามา พี่อ่านไม่ไหวอ่านเยอะแล้ว งง ด้วย  :-\\
lamictal ต้องทานแล้วดูเอาค่ะ ยังไม่เคยได้ยินว่ายาตัวนี้ตรวจเลือดดูได้ ลองถามหมอดูอีกทีก็ได้ค่ะ อาการแพ้หลังทาน วันสองวันก็เห็นแล้ว จะเป็นผื่นแดงทั่วตัวเลย ดูบวมๆ ด้วย หมออาจให้ลองยาขนาดต่ำๆก่อน แล้วถ้าคิดว่าไม่มีปัญหาค่อยเพิ่มขนาดขึ้น

ออฟไลน์ ann

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 236
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2011 เวลา 10:36 น. »
 หลิงหลิงเคยทานเดปพากิ้นแล้วคุณหมอเพิ่มlamictalแต่จะมีผลค้างเคียงคือถ้าทาน2ตัวนี้คู่กันจะมีผื่นแพ้ค่อนข้างง่าย ตอนหลังหมอเลยถอดเดปพากิ้นออกเพราะหลิงหลิงทั้งผื่นขึ้นและยังมีเกร็ดเลือดต่ำตอนadmidอีก หมอเห็นว่าถอดออกแล้วไม่มีอาการเพิ่มเลยให้หยุดไปเลยแต่แอนอยากให้ระวังเพราะแอนรู้สึกว่าหลิงหลิงทานlamictalแล้วชักเยอะขึ้นและถ้าโดนปรับยาเมื่อไรยิ่งทำให้ชักเยอะขึ้นทุกที เลยกำลังลดยาอยู่และกำลังจะค่อยค่อยถอดออกและตอนนี้ก็กำลังใส่keppraลงไปแทนค่ะ ตอนนี้ก็ดูเรื่องอารมร์ของน้องอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็เห็นว่าหลายหลายคนใช้แล้วค่อนข้างดีก็เลยขอคุณหมอลองใช้ค่ะ

ออฟไลน์ KATE

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 101
  • google ลูกรักของแม่เกด
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 09 กันยายน 2011 เวลา 13:51 น. »
google อายุ 9 เดือน ทาน Keppra คะ 1 cc เช้าเย็น ช่วงอาทิตย์แรกที่ทานมีอาการกระสับกระส่ายมาก นี่ทานมา 5 เดือนแล้ว ถามว่ามีผลกับอารมณ์ไหม เกดไม่แน่ใจ เพราะว่า นิสัยก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่พอใจก็จะกรี๊ดออกมาเลย (ส่วนตัวคิดว่าไม่น่ามาจากผลของยา แต่เพราะตามใจมากกว่า)ยิ่งช่วงที่มีอาการชัก บางคืนก็มีสะดุดตื่นมีอาการกรีดร้องออกมา มันคืออาการชักหรือป่าวก็ไม่แน่ใจอะคะ
"ความแข็งแกร่งของแม่..ยิ่งใหญ่เหนือกฎของธรรมชาติ"

โรงพยาบาล  --> รามาธิบดี (อ.ชัยยศ)
รักษาด้วยยา  --> Keppra+Phenobarb+depakine
ฝึกพัฒนาการ --> ร.พ.จุฬาฯ / ครูมาฝึกที่บ้าน

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2011 เวลา 17:14 น. »
หายไปนาน เพราะค่อนข้างยุ่ง เนื่องจากลูกคนเล็กพอเริ่มเดินได้ก็ซนมาก เลยไม่ค่อยว่างมา Update อาการไตตั้นเลยค่ะ

สรุปโดยรวมก็คือ ตั้งแต่เริ่มทาน Keppra แทน Depakine ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ไตตั้นชักถี่ขึ้น และรูปแบบการชักก็เปลี่ยนไปด้วย จากที่เมื่อก่อนประมาณ 3-4 เดือนครั้ง มาเป็นเฉลี่ยเดือนละครั้ง และจากที่เมื่อก่อนจะชักเมื่อมีสิ่งกระตุ้น คือ เหนื่อยกับไข้ ช่วงที่ทาน Keppra บางครั้งชักแบบไม่มีสิ่งกระตุ้นก็มีด้วย และเนื่องจากกิน keppra แล้วมี side effect เรื่องอารมรณ์ คือ จะ aggressive จึงไม่สามารถเพิ่มให้ถึงระดับได้ (พ่อ แม่ ก็รับอารมณ์ไม่ไหวค่ะ)
Plan การปรับยา ก็คือ ช่วงนี้กำลังใส่ Lamictal ให้ได้ระดับยาก่อน คือ จากน้ำหนักตัวตอนนี้ 17.8 kg. สามารถทาน Lamictal 25 mg.ได้วันละ 3-4 เม็ด  แต่ตอนนี้ทานอยู่ที่ 2 เม็ด/วัน เมื่อ Lamictal ได้ระดับแล้ว จึงค่อยๆลด Keppra และเพิ่ม Depakine และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ไปพบคุณหมอ คุณหมอให้ Frisium มาเสริมในกรณีที่มีปัจจัยที่เสี่ยงต่อการชัก เพราะก่อนหน้านี้เคยไปฉีดวัคซีน พอรุ่งขึ้นตัวรุมๆก็ชักเลย และเคยเหนื่อยจากการเดินทางจากใต้มากรุงเทพ ก็ชัก ซึ่งคุณหมอว่าหากกลัวว่าเค้าอาจจะชัก ก็ให้ Frisium ดักไว้เลย ซึ่ง Side effect ก็คือง่วงนอน
ดูประวัติการชักที่ผ่านมาสรุปได้ดังนี้นะคะ
1 ปีแรก (depakine) ชักทั้งหมด 5 ครั้ง
ปีที่ 2 (on depakine) ชักทั้งหมด 3 ครั้ง
ปีที่ 3 (Keppra) เฉพาะปีนี้ชักไปแล้วรวม 9 ครั้ง

เท่าที่คุณหมอดูอาการชักและ EEG คิดว่าน่าจะเป็นลมชัก ประเภท extratemperal lobe epilepsy ซึ่งค่อนข้างดื้อต่อยา ผ่าตัดได้ แต่เปอร์เซนต์หายชักขาดหลังผ่าตัดค่อนข้างน้อย น้อยกว่าประเภท  temperal lobe epilepsy เยอะ  (temperal lobe epilepsy จะประสบผลสำเร็จในการผ่าตัดมากกว่า) แต่ตำแหน่งที่ว่าถ้าจะให้ระบุว่าใช่ชัวร์ก็ต้องทำการตรวจละเอียดต่อไป ด้วยวิธี ICtal  PET Scan ซึ่งเป็นวิธีหาจุดกำเนิดชักที่แน่นอน เพื่อวางแผนผ่าตัดต่อไปในอนาคต
ฟังแล้วก็เครียดเลย
ช่วงนี้ก็คือให้ปรับยาไปก่อน เนื่องจากยาที่ทานอยู่ยังไม่ได้ระดับ แต่ต้องค่อยๆเพิ่ม เพราะหากเพิ่มเร็วจะมีผื่นแพ้ได้ หากใช้ยาแล้วยังไม่สามารถคุมชักได้ คงต้องมาคุยเรื่องผ่าตัดต่อไปค่ะ
จุดกำเนิดชักของไตตั้นอยู่ที่บริเวณหน้าซ้าย ตำแหน่ง F3 ,F7  ทำให้อาการชักจะสังเกตว่า ซีกขวากระตุก มือขวากระตุกเด่น ตาเหลือกขวา หลังชัก หากชักนาน จะเห็นความผิดปกติด้านการพูด เช่น พูดช้าลง วรรณยุกต์เพี้ยน และ Start ซ้ำๆที่ต้นประโยค
แต่หลังจาก Start Lamictal เท่าที่สังเกตคือ เค้าจะชักสั้นลง (ประมาณ 1 นาที ไม่เกิน 2 นาที) กระตุกเบาลง แต่ความถี่ไม่ได้ลดลง (เหมือนจะมากขึ้นหน่อยด้วยซ้ำ คือ ช่วง  2 เดือนหลังนี้ ชักไป 3 ครั้งแล้ว) คุณหมอว่าดูจะเหมือนเป็น sign ที่ดี แต่คงต้องรอให้ยาได้ระดับก่อน จึงจะสรุปได้ชัดเจนขึ้น

มีเรื่องเศร้าอีกเรื่องที่อยากเตือนไว้เป็นอุทธาหรณ์พ่อแม่ท่านอื่นด้วย คือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไตตั้นขี่จักรยานแล้วล้มหัวกระแทกฟุตบาท เย็บ 4 เข็ม แม่เห็นกับตาแต่รับไว้ไม่ทัน ตอนวิ่งเข้าไปอุ้มเค้า ก็กำลังชักอยู่ แล้วหัวก็แตกเลือดออกเต็มเลย ตกใจมากๆค่ะ ตอนแรกยังนึกว่าเค้าล้ม หัวฟาด แล้วชัก (ครั้งนี้ชักประมาณ 1-2 นาที) แต่หลังจากคุยกับหมอ สรุปว่าเค้าน่าจะชัก หมดสติ แล้วจึงล้ม เพราะการล้มแค่นี้ไม่ทำให้ชัก ต้องล้มแบบแรงกว่านี้มากๆจึงจะทำให้ชักได้ค่ะ
คนที่เป็นลมชักแล้วยังคุมชักไม่ได้ ห้ามขี่จักรยาน รถ ขึ้นรถเมล์ หรือว่ายน้ำ (น่าจะกีฬาอีกหลายๆอย่างด้วย) ข้อนี้ตัวเองก็ทราบอยู่แล้ว แต่ประมาทไงคะ เพราะมันไม่เคยเกิด ก็เลยประมาท หมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ให้ลูกด้วย แย่จริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ชักในวันนั้น น่าจะเกิดจาก เค้าตื่นเช้ามาก ประมาณก่อน  6โมง เช้า แล้วถึงเวลาไม่ยอมนอนกลางวัน ขอขี่จักรยาน ความจริงแม่ก็ไม่น่าอนุญาต แต่ก็ให้เพราะใจอ่อน และประมาทด้วย ได้บทเรียนอีกบทแล้ว หลายบทเหลือเกินค่ะ
ก็ยังดีว่าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ตอนนี้ตัดไหมเรียบร้อยแล้วค่ะ

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:09 น. »
26/12/2554

ก่อนตื่นนอนตอนเช้า ประมาณ 7.30น. นอนอยู่ดีๆยังไม่ทันตื่นลูกก็ชักค่ะ นานประมาณ 1-1.5 นาที จากนั้นสัก 10 นาทีก็ตื่น กลัวลูกชักซ้ำ ก็เลยรีบให้ทานยาหลัก+Frisium ครึ่งเม็ด เลยหลับต่อ ตื่นอีกที 10 โมงเลย ตื่นมาก็ดูปกติดีค่ะ ระหว่างวันเหมือนง่วงๆ คิดว่าน่าจะเป็นผลจาก Frisium+เพลียหลังชัก

เย็นวันนั้นก็เลยพาไปพบหมอ คุณหมอปรับยาให้เร็วขึ้น โดยเพิ่ม Lamictal อีก 0.5 เม็ดตอนเย็น และให้ทาน Frisium 0.5 เม็ดก่อนนอนทุกคืน

ทานมา 2 วันแล้ว ดูๆก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร ยังไม่ค่อยยอมนอนง่ายๆเหมือนเดิม

ช่วงนี้ไตตั้นชักบ่อยขึ้น เดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว กลุ้มมากค่ะ คิดว่ายาน่าจะยังไม่ได้ระดับ หรือหากเพิ่มจนถึงระดับแล้วยังเป็นบ่อยอยู่ ก็อาจจะดื้อยา

ตอนนี้มีข้อสงสัยลืมถามคุณหมอค่ะ ว่า Frisium ทานใกล้นมได้มั๊ยคะ เพราะปกติทานยามื้อค่ำประมาณ 19.30 น. แล้วจึงให้ทานนมตอน 20.30 หากต้องทาน Frisium ก่อนนอนจะใกล้เวลาทานนมน่ะค่ะ

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:16 น. »
ยาทานใกล้เวลานมทำให้ดูดซึมไม่ดีค่ะ ทานก่อนหรือหลังนมประมาณ 1 ชม.ค่ะ ถ้าทานนม 20.30 น.แล้วนอนเลย ก็ทาน frisium ตอน 17.30 เลยก็ได้ พอทานนมแล้วจะได้หลับไปเลย ง่วงจากยาด้วยพอดีเลย

ออฟไลน์ nongtt

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 99
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:27 น. »
พี่น้องจะหมายถึง ทานพร้อมยาหลักตอน 19.30 รึเปล่าคะ
ตอนแรกก็ว่าจะให้พร้อมยามื้อค่ำเลยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะง่วงซะก่อนเวลานอนน่ะค่ะ แต่สังเกตดูแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร งั้นก็น่าจะให้ได้

แล้วทานยาใกล้อาหารได้มั๊ยคะ เพราะส่วนใหญ่มื้อค่ำจะได้ทานหลังอาหารเลยทุกที เพราะทานข้าวนานมากกกค่ะกว่าจะเสร็จ

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2011 เวลา 08:38 น. »
มีเรื่องเศร้าอีกเรื่องที่อยากเตือนไว้เป็นอุทธาหรณ์พ่อแม่ท่านอื่นด้วย คือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไตตั้นขี่จักรยานแล้วล้มหัวกระแทกฟุตบาท เย็บ 4 เข็ม แม่เห็นกับตาแต่รับไว้ไม่ทัน ตอนวิ่งเข้าไปอุ้มเค้า ก็กำลังชักอยู่ แล้วหัวก็แตกเลือดออกเต็มเลย ตกใจมากๆค่ะ ตอนแรกยังนึกว่าเค้าล้ม หัวฟาด แล้วชัก (ครั้งนี้ชักประมาณ 1-2 นาที) แต่หลังจากคุยกับหมอ สรุปว่าเค้าน่าจะชัก หมดสติ แล้วจึงล้ม เพราะการล้มแค่นี้ไม่ทำให้ชัก ต้องล้มแบบแรงกว่านี้มากๆจึงจะทำให้ชักได้ค่ะ
คนที่เป็นลมชักแล้วยังคุมชักไม่ได้ ห้ามขี่จักรยาน รถ ขึ้นรถเมล์ หรือว่ายน้ำ (น่าจะกีฬาอีกหลายๆอย่างด้วย) ข้อนี้ตัวเองก็ทราบอยู่แล้ว แต่ประมาทไงคะ เพราะมันไม่เคยเกิด ก็เลยประมาท หมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ให้ลูกด้วย แย่จริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ชักในวันนั้น น่าจะเกิดจาก เค้าตื่นเช้ามาก ประมาณก่อน  6โมง เช้า แล้วถึงเวลาไม่ยอมนอนกลางวัน ขอขี่จักรยาน ความจริงแม่ก็ไม่น่าอนุญาต แต่ก็ให้เพราะใจอ่อน และประมาทด้วย ได้บทเรียนอีกบทแล้ว หลายบทเหลือเกินค่ะ
ก็ยังดีว่าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ตอนนี้ตัดไหมเรียบร้อยแล้วค่ะ

บทเรียนราคาแพงค่ะ ดีว่าไม่เป็นอะไรมาก เฮ้ออออออ
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
« ตอบกลับ #59 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2011 เวลา 09:08 น. »
พี่น้องจะหมายถึง ทานพร้อมยาหลักตอน 19.30 รึเปล่าคะ
ตอนแรกก็ว่าจะให้พร้อมยามื้อค่ำเลยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะง่วงซะก่อนเวลานอนน่ะค่ะ แต่สังเกตดูแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร งั้นก็น่าจะให้ได้

แล้วทานยาใกล้อาหารได้มั๊ยคะ เพราะส่วนใหญ่มื้อค่ำจะได้ทานหลังอาหารเลยทุกที เพราะทานข้าวนานมากกกค่ะกว่าจะเสร็จ

ให้ยาพร้อมยามื้อเย็นเลยค่ะ
ยากันชักส่วนใหญ่ทานได้ไม่จำกัดเวลา จะก่อน+หลังอาหารก็ได้ เพียงแต่ยาบางตัวทานพร้อมนม หรืออาหารมันมากๆ การดูดซึมจะไม่ดี

 


Powered by EzPortal